weekend-logo
Image

Weekend Walk กิน เที่ยว มูฯ รอบ ‘เสาชิงช้า’

18 เมษายน 2568

‘เสาชิงช้า’ คือหนึ่งในย่านที่แสดงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมในกรุงเทพฯ ได้ชัดที่สุด เพราะแค่เดินในรัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตร รอบๆ เสาชิงช้าสีแดงสูงตระหง่านที่หน้าวัดสุทัศน์ฯ คุณก็จะพบความหลากหลายทางวัฒนธรรมตั้งแต่เรื่องศาสนา อาหารการกิน ไปจนถึงวิถีชีวิตของชาวชุมชนโดยรอบ และนั่นก็อาจจะเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ย่านนี้ยังคงเป็นที่รักของคนไทยทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ รวมถึงนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก

Weekend Walk ครั้งนี้เราเลยอยากชวนทุกคนไปเดินเล่นรอบๆ เสาชิงช้าด้วยกันอีกครั้ง แบบเน้นเดินง่าย เดินได้จริง (ไม่แฮก) แต่เก็บครบทุกไฮ​ไลต์ไม่ว่าจะเป็นร้านอร่อยระดับตำนาน กิจกรรมน่าทำ และจุดชมวิวที่ทุกคนจะได้เห็นความสวยงามของย่านนี้


เรืองนามมหรสพศิลป์

ถ้าอยากรู้จักย่านเสาชิงช้าให้ลึกถึงประวัติศาสตร์ก็ต้องปักหมุดมาที่อาคารนิทรรศรัตนโกสินทร์ อยู่ห่างจากเสาชิงช้าประมาณ 700 เมตร ใกล้กับอนุสาวารีย์ประชาธิปไตย ซึ่งในอดีตเปรียบเสมือนประตูสู่กรุงรัตนโกสินทร์ จึงถูกพัฒนาให้เป็นศูนย์การเรียนรู้และแหล่งรวบรวมข้อมูลเรื่องประวัติศาสตร์ ประเพณี และศิลปวัฒนธรรม โดยชุบชีวิตให้ประวัติศาสตร์ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยที่ผสมผสานทั้งสื่อจัดแสดง หุ่นและแบบจำลอง สื่อผสมเสมือนจริง 4 มิติ

ภายในนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ประกอบด้วย 9 ห้องจัดแสดง (ใช้เวลาในการชมทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมง) โดยแต่ละห้องแทนความหมายด้วยนพรัตน์ทั้ง 9 ชนิด สื่อถึง “อัญมณีแห่งมหานคร” ได้แก่

1.ห้องรัตนโกสินทร์เรืองโรจน์
2.ห้องเกียรติยศแผ่นดินสยาม
3.ห้องเรืองนามมหรสพศิลป์
4.ห้องลือระบิลพระราชพิธี
5.ห้องสง่าศรีสถาปัตยกรรม
6.ห้องดื่มด่ำย่านชุมชน
7.ห้องเยี่ยมยลถิ่นกรุง
8.ห้องเรืองรุ่งวิถีไทย
9.ห้องดวงใจปวงประชา

นิทรรศรัตนโกสินทร์ เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 09:00-17:00 น. ไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าเช้าชม 70 บาทสำหรับคนไทย และ 100 บาทสำหรับชาวต่างชาติ เปิดให้เข้าชม 12 รอบต่อวัน ทุก 30 นาที ตั้งแต่เวลส 09:30-15:00 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์


Payaq Gallery
Payaq Gallery
Payaq Gallery

บ้านไม้ขาวสไตล์โคโลเนียลทรงขนมปังขิงอายุร้อยกว่าปีในตรอกตึกดินแห่งนี้ กลับมามีชีวิตอีกครั้งในฐานะอาร์ตแกลเลอรี คาเฟ่ บาร์ และพื้นที่สำหรับกิจกรรมสร้างสรรค์หลากหลายรูปแบบจนเป็นเหมือนคอมมูนิตี้ย่อมๆ ของคนรักศิลปะไปแล้ว พื้นที่หลักทั้ง 2 ชั้นของบ้านถูกใช้เพื่อจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียน

ถ้าเดินดูงานศิลปะแล้วอยากลองมีผลงานของตัวเองสักชิ้น ที่นี่ก็มี Canvas Painting Workshop หรือกิจกรรมวาดภาพบนแคนวาสให้ทุกคนได้ปลดปล่อยความเป็นศิลปิน ราคา 200 บาท (แคนวาสขนาด 15x15) ราคา 250 บาท (แคนวาส 20x25) รวมอุปกรณ์ทุกอย่างและรับผลงานกลับได้เลย

Payaq Gallery เปิดทุกวันอังคาร-อาทิตย์ 10:00-23:00


World at the Corner คือร้านหนังสือในบ้านเก่าอายุกว่า 120 ปี ที่เราเชื่อว่าน่าจะเป็นเหมือน ‘ขุมทรัพย์ล้ำค่า’ ของนักอ่านหลายคน เพราะชั้นหนังสือของที่นี่เต็มไปด้วยหนังสือภาษาอังกฤษที่มาจากหลากหลายประเทศที่เจ้าของร้านอย่าง ‘ณัฐ-ประกอบสันติสุข’ และ ‘ก้อย-สีวิกา ประกอบสันติสุข’ คู่พี่น้องที่เป็นทั้งช่างภาพ นักเขียน และนักเดินทาง ได้ออกเดินทางไปท่องเที่ยวและใช้เวลาคัดสรรหนังสือมาวางขายที่ร้านด้วยตัวเอง

World at the Corner เปิดเฉพาะศุกร์-อาทิตย์ เวลา 10:00-09:00

บ้านหมอหวาน

อาคารบำรุงชาติสาสนายาไทย หรือ ‘บ้านหมอหวาน’ คือตึกกึ่งปูนกึ่งไม้สไตล์โคโลเนียล ชิโน-โปรตุกีสที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2467 เจ้าของเดิม ‘หมอหวาน รอดม่วง’ แพทย์แผนไทยที่มีชีวิตอยู่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 5-8 ที่ต้องการให้อาคารแห่งนี้ทำหน้าที่สืบทอดภูมิปัญญายาไทย ปัจจุบันที่นี่จึงเป็นทั้งร้านขายยาไทย ที่ทำการของบริษัท หมอหวาน จำกัด และพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ของหมอหวาน ประกอบด้วย อุปกรณ์ทางการแพทย์และเภสัชทั้งแผนไทยและแผนตะวันตก เช่น เครื่องบดยา หินบดยา รางปั้นเม็ดยา โกร่งบดยา หม้อต้มยาไทย หูฟังเสียงหัวใจ บีกเกอร์ หลอดทดลอง เครื่องสกัดตัวยา ปิเปต ตะเกียงแอลกอฮอล์ เป็นต้น

บ้านหมอหวาน เปิดทุกวันอังคาร-อาทิตย์ 09:00-17:30

Jacob Store Sao Chingcha

Jacob Store Sao Chingcha หรือ ‘ร้านศรีภัณฑ์ยาค้อบ’ คือจุดกำเนิดของ Jacob แบรนด์กระเป๋าหนังพรีเมียมที่ก่อตั้งมาเข้าปีที่ 84 มีสินค้าสุดคลาสสิกเป็นกระเป๋านักเรียนขวัญใจวัยรุ่นยุค 90s และปัจจุบันยังได้พัฒนาไลน์สินค้าเป็นแบรนด์กระเป๋าหนัง high-end เพื่อไปต่อกับคนรุ่นใหม่ และยังเป็นร้านขายกระเป๋าที่ตกแต่งร้านได้เปรี้ยวจี๊ดจนเราไม่อยากให้คุณเดินผ่านไปเฉยๆ

Jacob Store Sao Chingcha เปิดทุกวันอังคาร-อาทิตย์ 10:00-17:00

โกปี๊เฮี๊ยะไถ่กี่
โกปี๊เฮี๊ยะไถ่กี่
โกปี๊เฮี๊ยะไถ่กี่
โกปี๊เฮี๊ยะไถ่กี่

ร้านโปรดของนกที่ชอบตื่นมากินอาหารเช้าที่มีอยู่หลายสาขาทั่วกรุงเทพฯ รวมถึงเสาชิงช้าด้วย โดยสาขาแรกอยู่ที่แยกวิสุทธิกษัตริย์เปิดตั้งปี พ.ศ. 2495 เริ่มด้วยการเป็นร้านขายของชำหรือ ‘โชห่วย’ ที่ขายกาแฟด้วย ก่อนจะกลายเป็นร้านอาหารเช้าแบบ all-day breakfast กลิ่นอายจีนอย่างทุกวันนี้

เราชวนแวะเติมพลังก่อนเดินด้วย ชุดไข่กระทะ+ขนมปังสอดไส้ (108 บาท) ที่มีหมูสับปรุงรสมาเพิ่มรสชาติ และชุดสะดวกทาน (ขนมปัง ไข่ลวก เครื่องดื่มที่สามารถเลือกได้) เริ่มต้น 138 บาท อีกอย่างที่ต้องลองก็คือชาและกาแฟเข้มๆ ของที่ร้าน โดยเลือกใช้ใบชาซีลอนจากศรีลังกา ใช้มือชงและกรองด้วยถุงชาแบบต้นตำรับ ส่วนกาแฟจะเป็นแนวกาแฟโบราณ ชื่อแปลกไม่เหมือนใคร เช่น ชาเฟร้อน (95 บาท) เป็นกาแฟดำเสิร์ฟพร้อมนม และ โคเฟเต้ (95 บาท) กาแฟนมที่มีความหวานหอมจากน้ำตาลอ้อย

โกปี๊เฮี๊ยะไถ่กี่ เปิดทุกวัน 07:00-20:00


นันฟ้า
นันฟ้า
นันฟ้า

เสาชิงช้าเป็นอีกย่านในกรุงเทพฯ ที่มีร้านดัง ร้านอร่อยอยู่เยอะ แต่รอบนี้เราเลือกมา 2 ร้านที่อยู่ใกล้ๆ กัน เพราะนอกจากจะอร่อยจริงและอยู่คู่ย่านนี้มานานแล้ว ยังเป็นเมนูคุ้นเคยที่กินง่ายๆ ใช้เวลาไม่มาก ร้านแรกคือ ‘นันฟ้า’ ร้านเป็ดย่างอบน้ำผึ้งสูตรฮ่องกงที่ขายมานานถึง 80 ปี ทีเด็ดคือ เป็ดย่างเนื้อนุ่ม แน่น ไม่เหมือนสาบ ข้าวหน้าเป็ดกับเป็ดย่างคือจานที่ต้องสั่งจริงๆ ส่วนเมนูอื่นๆ ก็มีทั้งข้าวหมูแดง หมูกรอบ ข้าวเฉโพ และยังมีเมนูบะหมี่ที่ใช้บะหมี่ไข่เส้นเล็กสั่งทำพิเศษ ราคาอาหารเริ่มต้น 60 บาทเท่านั้น

นันฟ้า เปิดทุกวัน 08:00-19:00

มิตรโกหย่วน
มิตรโกหย่วน

มิตรโกหย่วนอยู่ถัดจากร้านนันฟ้าไม่ไกล เป็นอีกหนึ่งร้านระดับตำนานของย่านเสาชิงช้าที่เปิดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เมนูและสูตรอาหารของที่ร้านเป็นอาหารสไตล์ไหหลำ ซึ่งก็สืบทอดมาจากยุคนั้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น หมี่กรอบ ร.5 หมี่กรอบสีชมพูทรงเครื่องหมู รสหวานอมเปรี้ยว เป็นเมนูที่ทุกวันนี้หากินอร่อยๆ ยากแล้ว

จริงจังขึ้นมาหน่อยก็มี สตูลิ้นวัว ลิ้นวัวที่ผ่านการตุ๋น 1 คืนจนนุ่ม แต่ก็ยังมีเนื้อสัมผัสให้ได้เคียวเพลินๆ มาพร้อมสารพัดผักหลากสี และอีกหนึ่งจานเด็ดที่ต้องสั่งก็คือเมนูธรรมดาๆ อย่าง ข้าวหมูทอดกระเทียม แต่ความพิเศษของที่ร้านก็คือ จะใช้เป็นหมูสับปรุงรสแทนหมูชิ้นที่เราคุ้นเลย เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มซีฟู้ดรสแซ่บ แนะนำให้ราดน้ำจิ้มแล้วคลุกทุกอย่างให้เข้ากันจะทำให้จานนี้อร่อยขึ้นไปอีก ของดีแบบนี้แต่ถ้าไปช่วงคนเยอะๆ โชคไม่ดีก็อาจจะไม่ได้กิน เพราะที่ร้านมีแค่ 7 โต๊ะเท่านั้น

มิตรโกหย่วน เปิดทุกวัน 11:00-13:30 และ 16:00-21:30


วัดสุทัศนเทพวนาราม
วัดสุทัศนเทพวนาราม
วัดสุทัศนเทพวนาราม

ไม่ว่าคุณจะเคยได้ยินตำนานอะไรเกี่ยวกับวัดนี้มาบ้าง แต่ความจริงก็คือนี่คือหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพฯ โดยเริ่มสร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3 โดยสิ่งที่น่าสนใจคือ พระศรีศากยมุนี (หลวงพ่อโต) พระประธานของวัดที่ได้ชะลอมาจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย และบานประตูพระวิหารที่เป็นศิลปะการแกะสลักไม้จากสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

สำหรับสายมู ส่วนใหญ่เชื่อกันว่าถ้ามากราบไหว้ ขอพร พระศรีศากยมุนี เป็นการเสริมดวงชะตาและช่วยให้ชีวิตร่มเย็นเป็นสุข และยังมี พระพุทธเสรฏฐมุนี หรือ หลวงพ่อกลักฝิ่น ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ประดิษฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญ ที่คนส่วนใหญ่มักจะมาไหว้ขอขมาตัดกรรม

วัดสุทัศนเทพวนาราม เปิดทุกวัน 08:00-18:00


เทวสถานโบสถ์พราหมณ์

เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ คือหนึ่งในโบสถ์พราหมณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงเทพฯ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2492 อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดสุทัศน์ฯ โดยมีเสาชิงช้าอยู่อยู่ตรงกลาง ที่นี่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2327 หรือหลังจากสร้างกรุงเทพฯ เสร็จ 2 ปี เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้คนที่นับถือศาสนาพราหมณ์ พร้อมกับเสาชิงช้าเพื่อใช้ประกอบพิธี พระราชพิธีตรียัมปวาย-ตรีปวาย หรือ ‘พิธีโล้ชิงช้า’ ซึ่งปัจจุบันถูกยกเลิกไปแล้วเนื่องจากไม่ปลอดภัย

ด้านในมีโบสถ์อายุเก่าแก่ถึง 240 ปีอยู่ 3 หลัง เป็นที่ประทับของเทวรูปสำคัญในศาสนาพราหมณ์ เช่น พระอิศวร พระพิฆเนศวร พระนารายณ์ พระลักษมี และพระภูมิเทวี ใครนับถือ ศรัทราองค์ไหนก็สามารถเข้าไปกราบไหว้สักการะหรือขอพรตามความเชื่อกันได้ และยังมี ‘หอเวทวิทยาคม’ หรือ ซึ่งเป็นห้องสมุดเฉพาะกิจที่รวบรวมวรรณคดี พิธีกรรม ประวัติศาสตร์ทางศาสนาพราหมณ์ โหราศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี

เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ มีกฎค่อนข้างเคร่งครัด ก่อนเข้าควรอ่านกฎที่ด้านหน้าให้ละเอียดและควรสำรวมตลอดเวลาเพื่อไม่ให้รบกวนการสักการะของคนอื่น

เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ เปิดทุกวัน 09:00-16:30


วัดเทพมณเฑียร

อีกหนึ่งสถานที่สำคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในย่านเสาชิงช้าก็คือ วัดเทพมณเฑียร หรือสมาคมฮินดูสมาช สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2468 โดยส่วนหนึ่งของโรงเรียนภารตะวิทยาลัย ด้านในมีเทวรูปของเทพและเทพีที่อัญเชิญมาจากประเทศประดิษฐานอยู่หลายองค์ เช่น พระวิษณุและพระแม่ลักษมี ซึ่งเป็นองค์ประธาน, พระพรหม ที่เชื่อว่าเป็นผู้ลิขิตชีวิตมนุษย์และประทานความสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา, พระแม่ทุรคา สัญลักษณ์แห่งความเข้มแข็งและความมีอำนาจ, พระพุทธเจ้า สัญลักษณ์แห่งความไม่เบียดเบียน, พระแม่ลักษมี สัญลักษณ์แห่งความงามและการรักษาความดี พระพิฆเนศ เทพผู้ประทานความสำเร็จ และองค์อื่นๆ รวม 10 องค์

วัดเทพมณเฑียร เปิดทุกวัน 08:00-19:30

Swing Bar
Swing Bar
Swing Bar

หลังจากเดินกันมาทั้งวันแล้วก็ได้เวลาขึ้นไปนั่งพักและชมวิวสวยๆ ของย่านเสาขิงช้าที่ Swing Bar บนชั้น 6 ของชิงช้าโฮสต์เทล จะเรียกว่าเป็นจุดที่สวยที่สุดในย่านี้ก็ว่าได้ เพราะจากมุมนี้สามารถมองเห็นได้ทั้งเสาชิงช้าและวัดสุทัศน์สองแลนด์มาร์กของย่านนี้ รวมถึงลานคนเมืองที่บางครั้งก็มีคนมาทำกิจกรรมกลางแจ้งกัน และมีฉากหลังเป็นตึกแถวและวิถีชีวิตของผู้คนที่สัญจรไปมา

ชมวิวแล้วอย่าลืมสั่งเครื่องดื่มมาจิบด้วย ที่นี่มีค็อกเทลซิกเนเจอร์เป็น Chingcha Monster (190 บาท) ใช้จินผสมกับสมุนไพรเครื่องต้มยำ ใช้พริกตกแต่งแก้วให้ดูเป็นเขามอนสเตอร์ รสชาติเปรี้ยวนำ อีกแก้วคือ Bangkok Paradise (180 บาท) ค็อกเทล 3 สีแบ่งเลเยอร์เป็นสีฟ้าของ Blue Curacao สีเหลืองของลิเคียวร์เมลอน และสีส้มของน้ำส้ม หรือถ้ารู้สึกหมดแรงและหิวอีกรอบก็สามารถสั่งอาหารมาเป็นมื้อเย็นได้ที่นี่มีทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่งเน้นของทอดและปิ้งย่าง

Swing Bar เปิดทุกวัน 17:00-00:00

เรื่อง:

ปฏัก พาโนมัย

Share !

Link Copied!