
สยามเซ็นเตอร์ฉลอง 30 ปี Toy Story กับครั้งแรกที่ศิลปินไทยถ่ายทอดเอกลักษณ์ไทยผ่านคาแรกเตอร์ระดับโลก
เรื่อง: อาภารัฐ ตั้งจิตนบ
20 ตุลาคม 2568
หลาย ๆ คนเติบโตมาพร้อมวู้ดดี้ บัซไลต์เยียร์ และผองเพื่อนในแอนิเมชัน Toy Story และถึงแม้เวลาจะล่วงเลยมากว่า 30 ปีแล้ว แต่เด็กน้อยคนนั้นในร่างผู้ใหญ่วันนี้ก็ยังคงตื่นเต้นไปกับการผจญภัยแสนสนุกเคล้ามิตรภาพชวนซึ้งของเจ้าของเล่นสุดน่ารักอยู่เสมอ และเฝ้ารอภาค 5 ที่จะเข้าฉายในปี 2026 อย่างใจจดใจจ่อ
และเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 3 ทศวรรษของการ์ตูนเรื่องนี้ สยามเซ็นเตอร์จึงจัดงาน Siam Center Presents Once Upon a Toy’s Journey: Where Timeless Characters Meet Thai Creativity นำเสนอเหล่าตัวละครสุดคลาสสิกนี้ผ่านเสน่ห์แบบไทย ๆ ในมุมมองที่สดใหม่ของ ตู่-ณัฐทพงศ์ รัตนโชคสิริกูล ศิลปินผู้สร้างสรรค์คาแรกเตอร์ Greenie & Elfie สองคู่ซี้ผู้เปี่ยมด้วยความสดใสร่าเริงและขี้เล่น
ไฮไลต์ในงานที่ห้ามพลาดเลยคือ Pop-Up & Debut Collection บนพื้นที่ชั้น G ของสยามเซ็นเตอร์ ที่อัดแน่นด้วยสินค้าลิมิเต็ดอิดิชันอย่างมินิฟิกเกอร์ Toy Story ในขวดจรวดแก้วที่มีให้เลือกกว่า 30 แบบ และคอลเลกชันพิเศษฉลองครบรอบ 30 ปี ไม่ว่าจะเป็นอาร์ตทอย หมอนจิ๊กซอว์ ทีเชิ้ต กระเป๋า พวงกุญแจ สติ๊กเกอร์ น้ำหอม แก้ว และทัมเบลอร์ รับรองถูกใจสายนักสะสมอย่างแน่นอน
อีกทั้งยังมีโซน Imaginative Toy Story Art Space: Floating Market ที่เนรมิตดิสคัฟเวอรี่พลาซ่าให้กลายเป็นไวบ์ตลาดน้ำ พร้อมผสานอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย ทั้งมวยไทย รถตุ๊กตุ๊ก ช้าง และชามตราไก่ เข้ากับเหล่าตัวการ์ตูนสุดไอคอนิกนี้ได้อย่างสร้างสรรค์และร่วมสมัย เปิดประสบการณ์ใหม่ให้แฟน ๆ ได้เติมความน่ารักและปลดปล่อยจินตนาการไปกับมิติที่แตกต่างของแอนิเมชันระดับตำนานนี้กันแบบจัดเต็ม
งานนี้เป็นการตอกย้ำบทบาทของสยามเซ็นเตอร์ในฐานะ ‘มหานครแห่งไทยสร้างสรรค์’ หรือ ‘The THAIdeaopolis’ ที่ขับเคลื่อนพลังไทยสร้างสรรค์มาโดยตลอด ผ่านการมอบพื้นที่แห่งโอกาสให้แก่ศิลปินและผู้ประกอบการทั่วประเทศ เพื่อจุดประกายแรงบันดาลใจ ต่อยอดไอเดียสร้างสรรค์ และผลักดันผลงานที่สะท้อนความภาคภูมิใจและคุณค่าความเป็นไทยร่วมสมัยสู่สายตาชาวโลก
อีกทั้งยังได้ MakeItLoudMarketing (Thailand) และ Unbox Industries มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ของวงการงานสร้างสรรค์ไทยด้วยการคอลแลบกับสตูดิโอแอนิเมชันระดับโลก โดยเป็น ‘ครั้งแรก’ ที่ศิลปินไทย ซึ่งประจำอยู่ในประเทศไทย ได้รับโอกาสให้ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของชาติในมุมมองของตัวเองผ่านคาแรกเตอร์ Toy Story จาก Disney และ Pixar

ในวันเปิดงาน Weekend มีโอกาสพูดคุยกับคุณตู่ ณัฐทพงศ์ ถึงเบื้องหลังแนวคิดในการตีความและสอดแทรกกลิ่นอายความเป็นไทยและแรงบันดาลใจส่วนตัวเข้าไปในต้นฉบับเดิมของ Toy Story รวมถึงความรู้สึกที่ได้ร่วมงานกับสยามเซ็นเตอร์และสตูดิโอผู้อยู่เบื้องหลังคาแรกเตอร์อันเป็นที่รักของแฟน ๆ หลายเจเนอเรชันทั่วโลกในวาระพิเศษนี้ด้วย
อะไรในแอนิเมชัน Toy Story ที่ทำให้ตกหลุมรักและกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้
ตู่-ณัฐทพงศ์ - ผมเป็นคนชอบเทคโนโลยี เลยชอบ Toy Story ภาคแรกมาก เพราะมันเป็นหนังแอนิเมชันขนาดยาวเรื่องแรกที่ใช้เทคนิค CGI แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือมันโดนใจคนที่ชอบของเล่น คือทุกคนต้องเคยคิดแน่ ๆ เลยว่า ของเล่นมันจะมีชีวิตตอนที่เราไม่อยู่ นี่แหละที่มันรีเลตกับคนดู แต่เวลาผ่านไปพอโตขึ้น ยอมรับเลยว่า ตอนนี้ชอบภาค 4 มากที่สุด เพราะมันคือชีวิตจริง เราเป็นเพื่อนกันก็จริง แต่เมื่อถึงทางแยก เราก็ต้องแยกทางกัน เพราะแต่ละคนมีฝันไม่เหมือนกันแล้ว แต่ละภาคของ Toy Story มันโตไปพร้อมกับเรา

ที่มาของคอนเซปต์ที่ใช้ในการสร้างสรรค์คาแรกเตอร์ Toy Story ฉบับ Once Upon a Toy’s Journey ณ สยามเซ็นเตอร์ คืออะไร
ตู่-ณัฐทพงศ์ - ตอนแรกไม่ได้คิดเรื่องความเป็นไทยอะไรเลย ผมเคยทำแอนิเมชันมาก่อน ก็เลยคิดว่า ถ้าเราจะต้องทำ ก็ให้มันเป็น Toy Story ภาคที่เราไม่เคยดูแล้วกัน คอนเซปต์ของงานเลยออกมาเป็นว่า ครอบครัวแอนดี้มาเที่ยวไทย ไปเดินเล่นตลาดน้ำแล้วซื้อของที่ระลึกกลับบ้านไป พอถึงวันที่ครอบครัวแอนดี้ไม่อยู่บ้าน บรรดาแก๊งของเล่นก็เอาของที่ระลึกเหล่านี้ ทั้งช้าง ทั้งรถตุ๊กตุ๊ก ซึ่งพวกเขามองเป็นของแปลกใหม่ ออกมาเล่นและจัดฉากถ่ายรูปด้วยกัน
ส่วนความเป็นไทยที่ได้นำมาผสมผสาน ก็กลมกลืนกันได้อย่างดี เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่เราจะเห็นคนต่างชาติที่มาเที่ยวไทยไปร้านขายของที่ระลึกแล้วซื้ออะไรแบบนี้จริง ๆ แต่ผมก็บิดบ้างนิดหน่อย อย่างชามตราไก่ ผมก็ดีไซน์ไก่ให้มีความสากลเพิ่มขึ้น ใช้สีแดงนีออนออกส้ม ๆ เพื่อให้มีเซนส์ความเป็นแฟชันสมัยใหม่มากขึ้น

การทำงานกับสตูดิโอระดับโลกอย่าง Disney และ Pixar เป็นอย่างไรบ้าง
ตู่-ณัฐทพงศ์ - จริง ๆ ผมชอบดุ๊ก คาบูม (Duke Caboom) ที่พากย์เสียงโดยคีอานู รีฟส์ ซึ่งเป็นคาแรกเตอร์ที่ไม่ค่อยมีคนชอบ ทาง Disney และ MakeItLoud เลยให้ข้อมูลสถิติมาว่า คาแรกเตอร์ไหนเป็นที่นิยมในภูมิภาคนี้ อย่างตัวละครเซิร์ก (Zurg) คนเอเชียจะไม่ค่อยชอบ แต่หมีลอตโซ่ (Lotso) คนเอเชียชอบมาก ฮิตมากเลยนะ ผมก็เอาคำแนะนำของเขามาปรับใช้ เอาคอนเซปต์มวยไทยมาครอบ ให้ลอตโซ่ใส่กางเกงมวยไทยที่คนมักซื้อเป็นของที่ระลึก
ส่วนการคอมเมนต์งาน ทางสตูดิโอเขาก็จะละเอียดมาก เช่น ผมดีไซน์โบพีป (Bo Peep) นั่งบนเรือตลาดน้ำ เขาก็ให้ผมเติมสี เติมไฮไลต์วาว ๆ ลงไปบนผักผลไม้ที่วาดด้วย เพื่อให้รู้ว่า ทุกอย่างที่เป็นเรือตลาดน้ำนี้คือโมเดล โบพีปไม่ได้ไปนั่งเรือที่ตลาดน้ำจริง ๆ แต่แค่ถ่ายรูปกับโมเดลจำลอง หรือตัวละครบัซไลต์เยียร์ขี่รถตุ๊กตุ๊ก รถตุ๊กตุ๊กก็ต้องมีฐานเพื่อให้รู้ว่า คุณนั่งจริง ๆ อย่างนี้ไม่ได้ มันอันตราย เนื่องจาก Toy Story มันเป็นการ์ตูนที่เด็กดูด้วย เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องถูกเซตขึ้นมาด้วยคอนเซปต์ว่า มันคือของที่ระลึก เป็นของจำลอง

นอกจากฉลองครบรอบ 30 ปี Toy Story แล้ว คอลเลกชันพิเศษนี้ต้องการสื่อสารอะไรกับแฟน ๆ
ตู่-ณัฐทพงศ์ - แก่นหลักของ Toy Story คือเรื่องมิตรภาพ ซึ่งคล้ายกับคาแรกเตอร์ Greenie & Elfie ที่ผมทำ เพราะฉะนั้นแก่นนี้เลยสะท้อนอยู่ในคอลเลกชันนี้ที่ให้ทุกคนรู้สึกว่า คาแรกเตอร์เหล่านี้คือเพื่อนของทุกคน เหมือนกรีนนี่ที่มีเอลฟี่เป็นเพื่อน บวกกับงานของผมส่วนใหญ่มักได้รับฟีดแบ็กว่า รู้สึกได้ถึงพลังบวก เพราะตัวละครยิ้มตลอดเวลา ผมเลยอยากให้คนที่ซื้อของในคอลเลกชันพิเศษนี้แฮปปี้ เอาคาแรกเตอร์ไปตั้งบนโต๊ะทำงาน เวลาทำงานเหนื่อย ๆ มองเห็นคาแรกเตอร์ยิ้ม ก็ยิ้มตามได้ สร้างพลังบวก ช่วยให้หายเหนื่อย ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
นอกจากความภาคภูมิใจในครั้งแรกของการเป็นศิลปินไทยในประเทศที่ได้สร้างสรรค์คาแรกเตอร์ Toy Story ผ่านมุมมองตัวเองแล้ว การคอลแลบครั้งนี้จะช่วยสร้างอนาคตที่ดีให้ศิลปินไทยและวงการงานสร้างสรรค์ไทยได้อย่างไรบ้าง
ตู่-ณัฐทพงศ์ - สิ่งสำคัญผมว่า มันสร้างแรงบันดาลใจและเป็นการพิสูจน์ว่า มีคนทำได้ นั่นแปลว่า ใคร ๆ ก็ทำได้ ปกติการคอลแลบแบบนี้เราจะมองแต่คนต่างชาติ แต่ตอนนี้คนไทยทำได้แล้ว เขาเปิดโอกาสแล้วนะ และมันอาจจะทำให้แบรนด์หรือสตูดิโอเจ้าของคาแรกเตอร์ในประเทศอื่น ๆ อยากจะทำคอลแลบแบบนี้กับศิลปินไทยบ้าง ซึ่งผมมองว่า มันเป็นผลดีกับเขาด้วย เพราะจะได้ช่วยยืดอายุคาแรกเตอร์ของเขาให้ทันสมัยอยู่เสมอ
จากประสบการณ์การทำอาร์ตทอยมากว่า 10 ปีของผม พอทำคาแรกเตอร์ไปได้สัก 2-3 ปี มันจะเริ่มอยู่ตัวแล้ว การจะทำให้คาแรกเตอร์เติบโตไปได้อีก หรืออยู่ไปได้ยืนยาว คำตอบมันอยู่ที่การคอลแลบ อาจจะร่วมกับแบรนด์หรือเพื่อนศิลปินด้วยกัน เพื่อจะได้ขยายฐานแฟนคลับ ในขณะเดียวกันก็เป็นการประกาศว่า คาแรกเตอร์ของคุณมีเพื่อนนะ ในทางกลับกันตัวแบรนด์หรือสตูดิโอใหญ่ ๆ เอง หากต้องการสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ ก็ต้องหาศิลปินที่คนรุ่นใหม่ยอมรับมาคอลแลบเพื่อนำเสนอคอลเลกชันใหม่ ๆ ต่อยอดไปเรื่อย ๆ เช่นกัน
การมีพื้นที่แห่งโอกาสอย่างสยามเซ็นเตอร์ช่วยส่งเสริมพลังสร้างสรรค์ของศิลปินไทยอย่างไรบ้าง
ตู่-ณัฐทพงศ์ - แทบทุกคนรู้อยู่แล้วว่า สยามเซ็นเตอร์เปิดรับเสมอ ใครมีไอเดียอะไรใหม่ ๆ ก็มาเสนอได้ และช่วยส่งเสริมให้ศิลปินไทยกลายเป็นที่รู้จัก ผมจึงมองว่า พื้นที่อย่างสยามเซ็นเตอร์มีความสำคัญ ปกติเราจะเห็นการแสดงผลงานสร้างสรรค์ตามแกลเลอรี แต่ที่นี่คือศูนย์การค้า ซึ่งมีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง มันเป็นสนามจริงที่ทำให้คนที่อยากเป็นศิลปิน อยากมีคาแรกเตอร์ของตัวเอง ไปคิดวิธีในการสื่อสารกับลูกค้าจริง ๆ เพื่อที่จะได้รู้ว่า เขาจะซื้อคาแรกเตอร์ของคุณหรือเปล่า คาแรกเตอร์ของคุณจะได้รับความนิยมไหม มันเป็นพื้นที่ที่ทำให้คุณมีโอกาสต่อยอดได้เยอะ และด้วยโลเคชันที่อยู่ใจกลางเมือง คนต่างชาติก็จะเห็นผลงานของคุณ

แฟน ๆ สามารถไปร่วมสนุก เติมความน่ารัก และจุดประกายแรงบันดาลใจในงานนี้ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 9 พฤศจิกายน ที่ Pop-Up & Debut Collection ชั้น G สยามเซ็นเตอร์ และจนถึงวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่โซน Imaginative Toy Story Art Space: Floating Market ดิสคัฟเวอรี่พลาซ่า พิเศษ!!! ช้อปสินค้าภายในงานครบ 3,000 บาท แลกรับ e-Starbucks voucher มูลค่า 100 บาท ได้เลย

เรื่อง
อาภารัฐ ตั้งจิตนบ