weekend-logo
นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์

ตามคุณสัตวแพทย์ไปหา 'นกพัฟฟิน' ที่ไอซ์แลนด์

4 พฤศจิกายน 2568

ทริปนี้สัตวแพทย์ขอพาไปชมธรรมชาติของประเทศไอซ์แลนด์ ดินแดนแห่งน้ำตกและสายรุ้ง และความหลากหลายทางสปีชีส์ของสัตว์ท้องถิ่น โดยเฉพาะนกพัฟฟิน นกท้องถิ่นตัวเล็กที่น่ารักจนดึงดูดให้เราอยากมาพบด้วยตาตัวเองจริง ๆ และยังได้ใกล้ชิดกับกวางเรนเดียร์ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าจดจำ

นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์

ถ้าพูดถึงประเทศไอซ์แลนด์ หลาย ๆ คนก็จะนึกถึงการตามล่าแสงเหนือ (หรือออโรรา) ที่จะปรากฏชัดในช่วงฤดูหนาว แต่ในฤดูอื่น ๆ ไอซ์แลนด์ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจและสวยตระการตาอีกมาก

เราเลือกไปไอซ์แลนด์กันช่วงปลายเมษายน เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ต้นฤดูร้อน พระอาทิตย์จะตกประมาณสองถึงสามทุ่ม ทำให้มีเวลาเที่ยวในแต่ละวันเต็มที่ และยังเป็นช่วงสุดท้ายของปีที่มีโอกาสได้ลุ้นเห็นแสงเหนือและเก็บสายรุ้งไปพร้อม ๆ กับการได้ใกล้ชิดกับนกพัฟฟินสุดน่ารัก ที่จะได้เห็นกันแค่ในช่วงนี้ และการได้เยี่ยมกวางเรนเดียร์

สำหรับทริปนี้เราเลือกขับรถเส้นทางทวนเข็มนาฬิการอบ The Ring Road ทางหลวงหมายเลข 1 ที่วนรอบเกาะไอซ์แลนด์ รวบรวมเอาไฮไลต์การเที่ยวไอซ์แลนด์ฉบับฤดูใบไม้ผลิมาฝากกัน

Chasing Waterfalls ทริปตามหาน้ำตกและสายรุ้ง

น้ำตกของไอซ์แลนด์คือสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเรา ทั้งมีเยอะทั้งอลังการ แถมน้ำตกในฤดูร้อนที่มีแดดสดใสยิ่งจะสวยเป็นพิเศษ แสงแดดเมื่อตกกระทบกับหยดน้ำจากน้ำตกในอากาศ จะเกิดการแยกแสงออกเป็นสีรุ้ง เรียกว่าเราเจอสายรุ้งในทริปนี้มากกว่าทั้งชีวิตที่ผ่านมาเสียอีก

น้ำตกที่เราไปเจอสายรุ้งแบบสวยมาก ๆ มีหลายที่ เช่น น้ำตก Gullfoss หรือที่เรียกว่าน้ำตกทองคำ เป็นหนึ่งในจุดแวะชมบน Golden Circle ซึ่งเป็นเส้นทางท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศไอซ์แลนด์ ที่นี่เราแนะนำให้ไปช่วงบ่ายเพราะแสงแดดจะตกกระทบที่น้ำตกทั้งสองชั้นอย่างพอดี และถ้ามาน้ำตก Gullfoss นี้เตรียมตัวเปียกได้เลย เพราะละอองจากน้ำตกแรงมาก แบบลมตีผมปลิวแน่นอน

น้ำตกถัดมาคือ Seljalandsfoss เป็นน้ำตกที่ตกลงมาเป็นเส้นตรง สูงถึง 60 เมตร จุดเด่นของน้ำตกนี้คือเราสามารถเดินไปด้านหลังน้ำตกได้ด้วยนะ แต่พอเอาเข้าจริงแค่เข้าใกล้น้ำตกก็เปียกปอนหมดแล้ว เราเลยไม่ได้เดินไปด้านหลังน้ำตกตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรก

ปิดท้ายด้วยน้ำตก Godafoss อยู่ทางตอนเหนือ ใกล้กับเมือง Akureyri ชาวเมืองเรียกน้ำตกนี้ว่าเป็นน้ำตกของเทพเจ้า เพราะในอดีตเคยมีเหตุการณ์โยนรูปสลักเทพเจ้าลงมาที่น้ำตกนี้ในช่วงเปลี่ยนศาสนาเมื่อปลายศตวรรษที่ 10 น้ำตก Godafoss จะเดินเข้าไปได้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา เราแนะนำไปทางฝั่งซ้ายและเดินขึ้นไปให้ถึงด้านบนสุด เดินไม่ยากเลย ทางดีมาก ๆ พอถึงขั้นบนสุดแล้วก็จะได้เจอมุมที่สวยและยิ่งใหญ่มาก เราไปช่วงประมาณ 11 โมง แดดดีสุด ๆ ทำให้เราสามารถเห็นสายรุ้งได้จากทุกมุมของน้ำตกเลย

น้ำตก Godafoss ไอซ์แลนด์
น้ำตก Seljalandsfoss ไอซ์แลนด์
น้ำตก Gullfoss ไอซ์แลนด์

Expect the unexpected ถ้ามองดี ๆ ก็จะเจอสัตว์ต่าง ๆ มากกว่าที่คิด

ก่อนมุ่งหน้าไปสู่หมู่บ้านนกพัฟฟินเราได้แวะทะเลสาบน้ำแข็ง Jökulsárlón ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull เราเคยได้ยินมาว่า ถ้าโชคดีเราอาจจะได้เจอแมวน้ำที่นี่ และเราก็ได้เจอจริงๆ น้องออกมาว่ายน้ำโชว์ตัวผ่านหน้าเราอย่างสบายใจ เพราะฉะนั้นถ้าใครได้แวะมาตรงนี้อย่าลืมมองซ้ายมองขวาหาน้องอุ๋งด้วยนะ



ทะเลสาบน้ำแข็ง Jökulsárlón อุทยานแห่งชาติ Vatnajökull ไอซ์แลนด์
ทะเลสาบน้ำแข็ง Jökulsárlón อุทยานแห่งชาติ Vatnajökull ไอซ์แลนด์
ทะเลสาบน้ำแข็ง Jökulsárlón อุทยานแห่งชาติ Vatnajökull ไอซ์แลนด์
ทะเลสาบน้ำแข็ง Jökulsárlón อุทยานแห่งชาติ Vatnajökull ไอซ์แลนด์

Road to Puffins ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านนกพัฟฟิน

ไฮไลต์ของทริปนี้คือเราตั้งใจจะเจอนกพัฟฟินให้ได้ นกพัฟฟินเป็นนกทะเลที่ใช้ชีวิตอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือเกือบตลอดทั้งปี ก่อนจะอพยพเข้ามาที่ประเทศไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ หมู่เกาะแฟโร แคนาดา และอังกฤษ ในช่วงปลายเดือนเมษายนเพื่อทำรังและวางไข่บริเวณหน้าผาริมทะเล และจะอพยพกลับช่วงปลายสิงหาคม โดยกว่า 60% ของประชากรนกพัฟฟินทั่วโลก จะอพยพมาที่นี่ ทำให้ไอซ์แลนด์กลายเป็นดินแดนแห่งนกพัฟฟินในช่วงเดือนเมษายน-สิงหาคมของทุกๆ ปีนั่นเอง

เราตั้งใจไปดูนกพัฟฟินถึงรังของพวกมัน ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึก ชื่อ Borgarfjörður Eystri วันที่เราขับรถไปกันเป็นวันแรกของฤดูร้อน ซึ่งถนนที่จะขับเข้าหมู่บ้านเพิ่งเปิดให้รถทั่วไปเข้าได้ (ถ้าขับไปในฤดูหนาวต้องใส่โซ่ที่ล้อ) สิ่งที่เราไม่รู้มาก่อนคือ ทางไปหมู่บ้านนี้ขับรถยากมาก ๆ โดยเฉพาะทางหลวงเส้นที่เป็นเลขสามหลัก กลายเป็นทางลูกรังเลยทีเดียว พอขับรถไต่ระดับความสูงของภูเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ ลูกแล้วลูกเล่า จากที่แดดแรงกลายเป็นมีหมอกลงหนา มองด้านข้าง ด้านหน้าแทบไม่เห็น ต้องใช้ทักษะในการขับและสมาธิอย่างสูงเลย

เราขับกันไปช้า ๆ ทัศนียภาพข้างทางเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จากฝนตก ลมกรรโชก หญ้าแห้ง ดินลูกรัง มาเจอหิมะ และสุดท้ายก็แดดออก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแค่ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่พอไปถึงหมู่บ้านแล้ว ต้องบอกว่าวิวสวยมาก สวยแบบตะโกน เป็นที่เงียบสงบท่ามกลางภูเขาปกคลุมด้วยหิมะและทะเล เรียกว่านกพัฟฟินเลือกทำรังในทำเลที่เลิศมากจริง ๆ ที่นี่เราสามารถเข้าไปดูนกพัฟฟินในธรรมชาติได้ฟรีแบบไม่จำกัดเวลา แนะนำให้ไปช่วง 5-6 โมงเย็น เพราะนกพัฟฟินจะบินกลับมาที่รังพอดี ถ้าไปดึกกว่านั้นจะไม่เจอเพราะนกเข้ารังหลับไปแล้วนะ และถ้าไปช่วงกลางวันก็อาจไม่เจอ เพราะนกบินออกไปหาอาหารกลางทะเลแล้ว

เส้นทางไปหมู่บ้านนกพัฟฟิน ไอซ์แลนด์
เส้นทางไปหมู่บ้านนกพัฟฟิน ไอซ์แลนด์
เส้นทางไปหมู่บ้านนกพัฟฟิน ไอซ์แลนด์
เส้นทางไปหมู่บ้านนกพัฟฟิน ไอซ์แลนด์

Hello Puffinland

นกพัฟฟินได้ฉายาว่าเป็น clown of the sea หรือตัวตลกแห่งท้องทะเล เนื่องจากมีดวงตากลมโตสีดำ ตัดกับขนสีขาวและจะงอยปากสีสันสดใส ด้วยขนาดตัวเล็กน่ารัก รวมถึงท่าเดินคล้ายนกเพนกวิน ทำให้ใคร ๆ ที่ได้มาเจอก็โดนตกกันทุกราย ในพื้นที่รังนกพัฟฟินนี้เราจะได้อยู่ท่ามกลางนกพัฟฟินแบบใกล้ชิดมาก ๆ โดยมีการจัดทางเดินไม้ไว้ให้นักท่องเที่ยวเดินผ่านโดยเฉพาะ เพื่อที่จะไม่เผลอเดินเข้าไปเหยียบทำลายรังของนกพัฟฟิน

นกพัฟฟินจะขุดดินให้เป็นโพรงลึกลงไปถึง 1 เมตร สำหรับการวางไข่ นกพัฟฟินจะวางไข่แค่ปีละ 1 ฟองและกกไข่นานถึง 45 วัน (ซึ่งนานมาก ๆ เมื่อเทียบกับไก่ที่ใช้เวลาฟักไข่แค่ 21 วัน) เป็นเพราะลูกนกพัฟฟินจะต้องพัฒนาและโตให้มากพอที่จะต่อสู้กับสภาพแวดล้อมลมทะเลแรง ๆ ได้ โดยภายในรังนี้ พ่อและแม่นกพัฟฟินจะสลับกันกกไข่และออกไปหาอาหารมาเลี้ยงลูกน้อยนั่นเอง

นกพัฟฟิน ไอซ์แลนด์

ในบริเวณนี้จะมีป้ายเตือนห้ามส่งเสียงดังรบกวนที่อยู่ของนกตามธรรมชาติด้วย และมีห้องเล็กๆ ที่ให้เราเข้าไปถ่ายรูปหรือนั่งวาดภาพระหว่างที่ดูนกพัฟฟินได้ แถมมีเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจแปะอยู่รอบๆ เช่น คุณรู้ไหมว่า นกพัฟฟินมีอายุขัยได้ยาวนานถึง 41 ปี และเป็น monogamous คือผสมพันธุ์แบบคู่เดียว พวกมันจะบินกลับมาหาคู่เดิมทุกปีเพื่อมาผสมและวางไข่ที่รังเดิม

อีกหนึ่งพฤติกรรมน่ารัก ๆ ของนกพัฟฟินที่เราเจอคือการทำ Billing โดยนกจะเอาจะงอยปากมาตีกันเกิดเสียงเบา ๆ เป็นพฤติกรรมการเกี้ยวพาราสี ช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคู่ของนกพัฟฟิน

ถือว่าการมาตามหานกพัฟฟินครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่ดีมากสำหรับเรา ถึงจะเดินทางค่อนข้างยากและใช้เวลามากขึ้น แต่การที่ได้มานั่งมองนกพัฟฟินตัวเล็กสีขาวดำ ปากส้มลวดลายแตกต่างกัน เดินดุ๊กดิ๊ก บ้างก็ส่ายหัว กระพือปีก ส่งเสียงร้องที่น่าเอ็นดู ก็คุ้มค่าสำหรับเราที่ได้มาเห็นพฤติกรรมและความน่ารักของนกพัฟฟินตามธรรมชาติแบบนี้แล้ว


นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์
นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์
นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์
นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์
นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์
นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์
นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์
นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์
นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์
นกฟัฟฟิน ไอซ์แลนด์

Finding Rudolph แวะทักทายเรนเดียร์กำพร้า

หลังจากที่เราโบกมือลาหมู่บ้านชาวประมงในฝันแล้ว เราอยากเจอกวางเรนเดียร์แบบที่ได้ใกล้ชิดบ้าง ก็เลยตัดสินใจไป Reindeer Park ในเมือง Fellabaer ที่เราหาเจอโดยบังเอิญ ค่าเข้าประมาณ 500 บาท เปิดทุกวัน เวลา 11:00–17:00 น.

ที่นี่มีจุดเริ่มต้นคือการช่วยชีวิตกวางเรนเดียร์ตัวผู้สองตัว และหลังจากนั้นเมื่อมีกวางเรนเดียร์ที่พลัดพรากจากแม่ คนที่บริเวณนั้นก็จะติดต่อเพื่อให้ทาง Reindeer Park ช่วยดูแลลูก ๆ กวาง กลายเป็นที่รับเลี้ยงเรนเดียร์กำพร้าไปโดยปริยาย

คุณลุงเจ้าของมาอธิบายให้เราฟังว่าที่นี่เขาช่วยกวางเรนเดียร์มานะ แล้วเคยให้มันกลับไปอยู่เองในธรรมชาติด้วยแต่สุดท้ายมันก็กลับมาหาอยู่ดี ความพิเศษของกวางเรนเดียร์คือจะมีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย (ต่างกับกวางทั่วๆ ไป ที่มีเขาเฉพาะตัวผู้) โดยเขาจะร่วงหลุดทุกปีและก็จะงอกขึ้นมาใหม่ พร้อมโชว์ collection เขากวางที่เก็บไว้ ตอนที่เราไปมีกวางตัวมาใหม่มาด้วย ยังอายุไม่เยอะ กำลังซนขี้เล่นเลยทีเดียว เวลากระโดดมากอดทีนึงแทบล้มจับ แล้วคุณลุงก็เอามอสสดมาให้พวกเรา แล้วให้เรายื่นให้กวางเรนเดียร์กินได้เองกับมือ เรียกได้ว่าใกล้ชิดกวางเรนเดียร์แบบเต็มอิ่มครั้งแรกในชีวิตและถ่ายรูปกับน้องได้แบบเพลิดเพลินมาก (สามารถติดตาม IG ของทาง Reindeer Park ได้ทาง @reindeerparkiceland)


Reindeer Park ในเมือง Fellabaer ไอซ์แลนด์
Reindeer Park ในเมือง Fellabaer ไอซ์แลนด์
Reindeer Park ในเมือง Fellabaer ไอซ์แลนด์
Reindeer Park ในเมือง Fellabaer ไอซ์แลนด์

Last Light ส่งท้ายทริปในฝัน

แล้วเราก็เดินทางมาจนถึงจุดสำคัญสุดท้ายของทริปไอซ์แลนด์ คือภูเขา Kirkjufell หรือ Church Mountain ที่เคยเป็นฉากใน Game of Thrones ที่ใครๆ ที่มาที่นี่ก็ต้องแวะมาถ่ายรูป และพวกเราก็ไม่พลาดที่จะมาถ่ายภาพน้ำตกพร้อมกับสายรุ้งเล็ก ๆ

ก่อนจะเดินทางออกจาก Kirkjufell เพราะฟ้าเริ่มมืดครึ้ม เราหันหลังกลับมาอีกครั้ง ก็โชคดีเจอสายรุ้งส่งท้ายอีกรอบ ในขณะที่เรากำลังถ่ายภาพก็มีนักท่องเที่ยวที่เดินผ่านมาพูดกับเราว่า “ว้าว มันต้องเป็นภาพที่ดีที่สุดของคุณแน่ๆ”

ไอซ์แลนด์

เรียกได้ว่าการมาเที่ยวไอซ์แลนด์ในฤดูใบไม้ผลินี้ เป็นทริปแห่งน้ำตกสายรุ้งจริงๆ