เชื่อว่าหลายคนติดตามงานของ teamLab ที่นิยามให้ตัวเองเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัล ในหลายโลเคชั่น Weekend ได้ดูงานของ teamLab ครั้งแรกที่สิงคโปร์ ภายใน Art Science Museum ก่อนที่จะได้ดูอีกครั้งที่ teamLab Planets ในโอไดบะ โตเกียว ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่าจะปิด แล้วหลีกทางให้กับ teamLab Borderless ที่จะเปิดใหม่ แต่สุดท้ายแล้วก็เปิดควบคู่กันมา แน่นอนว่า teamLab ยังกระจายตัวทั่วทั้งญี่ปุ่น ทั้ง teamLab Botanical Garden Osaka และ teamLab Forest Fukuoka แต่ไม่ว่าจะเป็นโลเคชั่นไหนก็ไม่สามารถสู้ teamLab Borderless: MORI Building DIGITAL ART MUSEUM ได้ ด้วยคอนเซ็ปต์ที่แหวกแนวที่สุดกับนิยามของ Borderless World

งานของ teamLab ที่ Azabudai Hills สร้างความแตกต่างด้วยการไม่ได้กำหนดลำดับในการชมชิ้นงาน และไม่มีแผนที่ เนื่องจากศิลปะดิจิทัลทั้งหมดจะไม่จำกัดตัวเองอยู่ห้องใดห้องหนึ่ง แต่ชิ้นงานจะเดินทางเชื่อมต่อไปยังห้องต่างๆ ได้ เสมือนมีชีวิต ไม่จำกัดรูปแบบ ไม่จำกัดพื้นที่ และดูงานได้แบบไม่รู้จบ บางชิ้นงานเราอาจจะเคยดูมาแล้วแต่มาแสดงใหม่ในอีกเลย์เอาท์อีกโลเคชั่น ที่สำคัญห้องแต่ละห้องเชื่อมต่อกันได้หลายทางแบบ คล้ายกับเขาวงกต เราต้องจดจำทางให้ดี เพราะบางครั้งเราอาจจะเข้าซ้ำในห้องเดิมก็เป็นได้

ซึ่งคอนเซ็ปต์นี้แหละที่ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์ต่างจาก teamLab อื่น แม้ว่าหลายชิ้นงานจะเป็นชิ้นงานเดิมก็ตาม ที่นี่มีงานชิ้นใหม่ที่ไม่มีใน teamLab อื่น อย่างงาน Light Sculpture ซึ่งบังเอิญปิดซ่อมในวันที่เราไปพอดี เราก็เลยไม่ได้ดู (กำหมัดแล้วหนึ่ง) แต่ที่น่าสนใจก็คือ En Tea House ร้านชาแบบอิมเมอร์ซีฟที่ต้องสั่งชาและไอศกรีมถึงจะได้เข้ามาในห้องนี้ โดยนำเอาชามชาและชามไอศกรีมเป็นจุดเล่นแบบอินเทอร์แอคีฟกับแมปปิงที่ยิงลงมา เมื่อเราย้ายชาม ดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานในชามก็จะแตกกระจาย แต่จะไปเบ่งบานอีกครั้งในพื้นที่ใหม่ เช่นเดียวกับชามไอศกรีม ที่แฝงด้วยปรัชญาที่น่าสนใจ

ใครเป็นแฟน teamLab เราแนะนำว่าให้มาที่นี่ เพราะเราจะได้ประสบการณ์ชมศิลปะดิจิทัลแบบใหม่ที่ไม่เหมือนงานเดิมแน่นอน แต่ต้องจองมาก่อนนะ วอล์กอินไม่ได้ บัตรผู้ใหญ่ ราคา 3,600-4,400 เยน ประมาณ 800-1,000 บาท ส่วนบัตรเด็กและเยาวชน ราคา 1,500-2,800 เยน ประมาณ 350-650 บาท ซื้อบัตรที่นี่